การเลือกเครื่องปรับอากาศ การเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับห้องที่จะติดตั้งควรรู้ขนาดห้องเสียก่อน เพื่อให้ได้ความเย็นที่เหมาะสม กรณีซื้อ เครื่องปรับอากาศที่มีขนาดใหญ่เกินไป การทำความเย็นจะมากเกินไป การควบคุมความชื้นไม่ดี (เนื่องจากเครื่องต้องเดิน-หยุดบ่อย) ราคาเครื่อง และค่าติดตั้งก็จะสูงตามไปด้วย ถ้าซื้อเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กเกินไป การทำความเย็นก็ไม่เพียงพอ และเครื่องก็ต้องทำงานตลอดเวลา อายุการใช้งานก็จะสั้น ดังนั้นจึงควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่มี ความสามารถในการทำความเย็นให้เหมาะสมกับพื้นที่ห้อง เพื่อให้สะดวกและรวดเร็ว สามารถหาขนาดของเครื่องปรับอากาศได้จากตาราง
ขนาดของห้อง (ตารางเมตร) |
ขนาดเครื่อง (บีทียู) |
ห้องนอน |
ห้องนอน โดนแดด |
ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น |
ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นโดนแดด |
ห้องทำงาน |
ห้องทำงาน โดนแดด |
12,000 15,300 18,000 20,800 22,800 27,200 32,800 38,000 53,000 64,400 |
16-22 20-28 24-33 28-38 30-42 36-50 44-60 51-70 71-97 86-118 |
14-20 18-26 21-30 24-35 27-38 32-45 38-55 44-63 62-88 75-107 |
16-20 20-26 24-30 28-35 30-38 36-45 44-55 51-63 71-88 86-107 |
14-18 18-23 21-27 24-31 27-34 32-41 38-49 44-57 62-80 75-97 |
14-18 18-23 21-27 24-31 27-34 32-41 38-49 44-57 62-80 75-97 |
12-16 15-20 18-24 21-28 23-30 27-36 33-44 38-51 53-71 64-86 |
การเลือกเครื่องปรับอากาศ
ควรเลือกเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับขนาดของห้อง โดยทั่วไปสำหรับห้องขนาดพื้นที่ 16 ตารางเมตร ฝ้าเพดานสูงประมาณไม่เกิน 2.50 เมตร ควรเลือกเครื่องปรับอากาศประมาณ 1 ตัน - 1 ตันกว่าๆ หรือ 12,000 B.T.U. - 16,000 B.T.U. แต่ถ้าหากห้องนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกและปราศจากชายคาปกคลุมซึ่งจะได้รับแสงแดดโดยตรงในช่วงบ่าย ก็อาจจำเป็นต้องเพิ่มขนาดของเครื่องปรับอากาศเพื่อสู้กับความร้อน โดยอาจต้องเลือกใช้เครื่องขนาดประมาณ 18,000 B.T.U. - 20,000 B.T.U. ซึ่งกินไฟประมาณ 5,500-5,900 วัตต์
ขนาดเครื่องปรับอากาศ จะเริ่มตั้งแต่ 9,000 B.T.U. 12,000 B.T.U. 18,000 B.T.U. 24,000 B.T.U. 30,000 B.T.U.
ตารางเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศที่ใช้กันทั่วไป สำหรับห้องที่ฝ้าเพดานสูงไม่เกิน 2.50 เมตร
|
ขนาดพื้นที่ห้อง (ตร.ม.) |
ขนาดเครื่องปรับอากาศ |
|
16 |
12,000 |
|
B.T.U. |
|
20 |
16,000 |
|
B.T.U. |
|
25 |
18,000 |
- 20,000 |
B.T.U. |
|
30 |
20,000 |
- 24,000 |
B.T.U. |
|
40 |
30,000 |
|
B.T.U. |
|
และที่สำคัญ ควรเลือกซื้อ เครื่องปรับอากาศที่มีป้ายฉลากเขียว ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกระทรวงอุตสาหกรรม และเลือกรุ่นที่ระบุว่าเป็น รุ่นประหยัดไฟฟ้า (เบอร์ 5)
|
การบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ
วิธีดูแลด้วยตัวเอง
ควรตั้งค่าอุณหภูมิภายในห้องให้เหมาะกับความสบาย ของผู้อยู่อาศัย ซึ่งโดยทั่วไป จะอยู่ที่ค่าประมาณ 25-26 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานการประหยัดไฟฟ้า (เครื่องปรับอากาศบางยี่ห้อจะเขียนไว้ว่า economy 25o C)
ส่วนคอนเดนซิ่ง หรือชุดระบายความร้อนของเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะติดตั้งอยู่ภายนอกบ้าน ควรวางอยู่ในบริเวณที่ไม่ถูกแสงแดดปะทะโดยตรงและไม่ชื้น เพราะความร้อนจะทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้น และความชื้นจะทำให้อุปกรณ์ภายในเครื่องผุเร็ว ไม่ควรติดตั้งชุดระบายความร้อนใกล้ผนังเกินไป เพราะเครื่องจะกินไฟมากขึ้นร้อยละ 15-20 ระยะที่เหมาะสมควรให้ห่างจากผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตร เพื่อการระบายความร้อนได้ดี ไม่ควรนำสิ่งของไปวางขวางทางลมเข้า-ออกของชุดระบายความร้อน เพราะจะทำให้เครื่องระบายความร้อนได้ไม่ดี ทำงานหนัก และสิ้นเปลืองไฟ
เครื่องปรับอากาศชนิดตั้งพื้น มีช่องลมดูดกลับอยู่ส่วนล่างของเครื่อง ต้องระวังอย่าตั้งสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์บังช่องลมดูดกลับนี้ เพราะจะทำให้อากาศถูกดึงกลับออกไป ทำให้ห้องเย็นช้าลงและเครื่องทำงานหนักขึ้น
หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ หรือฟิลเตอร์อย่างสม่ำเสมอสอย่าให้มีฝุ่นเกาะ จะช่วยประหยัดไฟได้ร้อยละ 5 - 7 ควรทำความสะอาดฟิลเตอร์อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง โดยท่านสามารถทำได้ด้วยตนเอง เพียงเปิดฝาครอบของเครื่องปรับอากาศที่อยู่ในบ้าน แล้วนำฟิลเตอร์ซึ่งอยู่ที่ส่วนเป่าลมเย็นออกมาล้างน้ำ ปล่อยให้แห้ง และใส่กลับที่เดิม ในช่วงฤดูร้อนซึ่งเครื่องต้องทำงานหนัก เราอาจเตรียมหาแผ่นฟิลเตอร์สำรองไว้เปลี่ยนเพื่อให้เครื่องทำความเย็นได้เต็มที่
|
การดูแลโดยช่างซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศ
ควรให้ช่างแอร์มาดูแลตรวจสภาพเครื่องปรับอากาศทุก 4 - 6 เดือน/ครั้ง ซึ่งจะมีการให้บริการดูแลทั่วไปดังนี้
1. |
ล้างแผ่นกรองฟิลเตอร์ ตรวจสอบการระบายน้ำออกจากตัวเครื่องเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลย้อนหยดอยู่ภายในห้อง
|
2. |
ทำความสะอาดส่วนคอนเดนซิ่งหรือชุดระบายความร้อนที่อยู่นอกบ้าน ซึ่งมีโอกาสถูกฝุ่นละอองตลอดเวลา ถ้าไม่ได้ทำการล้างบ่อยๆ จะมีฝุ่นเกาะมากที่ช่องระบายอากาศ ทำให้การระบายความร้อนไม่มีประสิทธิภาพ และทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้น
|
3. |
ตรวจสอบน้ำยาทำความเย็นให้อยู่ในระดับมาตรฐาน |
|
ธีใช้เครื่องปรับอากาศเพื่อประหยัดไฟฟ้าและยืดอายุการใช้งาน
|
|
ในห้องที่มีการปรับอากาศ ไม่ควรตั้งตู้เย็น หรือมีการหุงต้มหรือรีดผ้าที่ทำให้เกิดความร้อนในห้องนั้น |
|
|
สำหรับห้องที่มีการปรับอากาศ หากไม่มีการใช้งานนานกว่า 1 ชั่วโมง ควรปิดเครื่องเพื่อประหยัดไฟฟ้า เพราะเมื่อเปิดเครื่องทิ้งไว้ ส่วนคอนเดนซิ่งจะทำงานอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาอุณหภูมิของห้องให้คงที่ตามที่ตั้งไว้ ส่วนนี้เป็นส่วนที่ใช้กำลังไฟฟ้ามาก ดังนั้น เมื่อมิได้อยู่ในห้องเกินกว่า 1 ชั่วโมงก็ควรปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะห้องที่ปรับอากาศเอาไว้แล้วทั่วไปยังคงรักษาความเย็นไว้ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง การปิดเครื่องจึงช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ |
|
|
ไม่ควรปลูกต้นไม้หรือตากผ้าในห้องที่มีการปรับอากาศ เพราะไปเพิ่มความชื้นภายในห้องซึ่งทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้น |
|
|
ควรปิดม่าน-มู่ลี่บังแดดที่หน้าต่างก่อนออกจากห้อง เพื่อป้องกันแสงแดดและความร้อนเข้ามาสะสมภายในห้อง ซึ่งทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น |
|
|
ควรสร้างสภาพแวดล้อมรอบตัวบ้านให้ร่มเย็นด้วยการปลูกต้นไม้สร้างร่มเงาให้กับพื้นคอนกรีตรอบบ้านเพื่อให้อุณหภูมิแวดล้อมเย็นลง ช่วยให้เครื่องปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนักมากและช่วยลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ |
|
|
การปรับแก้ไขขนาดห้องเพื่อประหยัดไฟฟ้าในการปรับอากาศ เมื่อมีความต้องการในการปรับพื้นที่ใช้สอยในห้องเพื่อติดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งอาจจะจัดเป็นส่วนทำงานขึ้นในส่วนห้องนั่งเล่นที่มีเพดานสูงและมีพื้นที่มากเกินความจำเป็นในการจัดเป็นมุมทำงาน เราก็ควรจัดกั้นแบ่งห้องให้มีขนาดพอดีกับส่วนทำงาน เมื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศจะได้มีขนาดเล็กพอเหมาะกับส่วนทำงานที่จัดขึ้นใหม่นั้น การกั้นแบ่งสามารถทำได้หลายลักษณะ เช่น กั้นเป็นฝายึดติดถาวร หรือใช้เป็นฉากปรับเลื่อนที่สามารถเปิดออกเป็นพื้นที่ต่อเนื่องกับส่วนนั่งเล่นได้ ทั้งนี้ขึ้นกับความต้องการของผู้ใช้สอย | |
|