สายการบินต้นทุนต่ำ southwest airlines
เรื่องราวของความสำเร็จทางธุรกิจของ southwest airlines เป็นโจทย์ที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเพราะเหตุใดที่สายการบินที่ให้บริการเฉพาะเพียงในประเทศอย่าง southwest airlines จึงไม่ประสบกับปัญหาทางการเงินดังเช่นสายการบินที่ให้บริการทั้งในประเทศและระหว่างประเทศอย่าง northwest หรือ Delta Airlines ที่ต่างต้องพึ่งพาอำนาจศาลเพื่อพิทักษ์ตัวเองในระหว่างที่ตกอยู่ในสภาพล้มละลาย
สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตจากการเดินทางด้วยสายการบิน southwest ครั้งนี้ คือ การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการและให้บริการไล่เรียงมาตั้งแต่ขั้นตอนของการจองซื้อตั๋วทางอินเทอร์เน็ต ที่ ผู้เดินทางใช้บัตรเครดิตชำระค่าตั๋วออนไลน์เพื่อรับ "confirmation number" จากสายการบินไปจนถึงขั้นตอนก่อนขึ้นเครื่อง confirmation number นี้เปรียบเสมือนรหัสผ่านที่จะช่วยส่งให้เราขึ้นเครื่องโดยสะดวกด้วยรหัสผ่านนี้ ผู้ที่ต้องการเช็กอินก่อนเดินทางสามารถทำรายการบน อินเทอร์เน็ตได้ โดยกรอก confirmation number นี้ลงในหน้าของ on-line check-in และพิมพ์หน้าตอบรับออกมาเพื่อใช้แสดงเป็น boarding pass ด้วยวิธีนี้ผู้เดินทางจะไม่ต้องเสียเวลามาติดต่อดำเนินการที่สนามบินก่อนขึ้นเครื่อง
หากใครที่ไม่ได้เช็กอินออนไลน์ และมีเพียงกระเป๋าสะพายติดตัว คือไม่มีสัมภาระที่จะบรรทุกใส่ใต้ท้องเครื่อง ผู้เดินทางสามารถมาเช็กอินด้วยตัวเองที่สนามบิน ณ ตู้บริการอัตโนมัติที่ทางสายการบินจัดเตรียมไว้ให้ โดยตู้นี้จะออก boarding pass ให้กับผู้โดยสาร หากชื่อและ confirmation number ตรงกับที่บันทึกไว้ในฐานข้อมูลของการซื้อตั๋วออนไลน์
เรียกได้ว่าตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อตั๋วไปจนถึงการรับ boarding pass ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องพบปะ เจอหน้า หรือพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย ซึ่งนั่นหมายความว่าสายการบินก็จะไม่มีต้นทุนในการจ้างบุคลากร (อันกินความครอบคลุมไปถึงค่าประกันสุขภาพ และค่าประกันสังคมที่เป็นภาระหนักอึ้งของทุกธุรกิจ) ที่จะมาทำงานในขั้นตอนเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เมื่อถึงเวลาตลาดปิดจะมีบุคคลสำคัญ หรือแขกพิเศษของตลาดหลัก ทรัพย์นิวยอร์กให้เกียรติมาเป็นผู้ตีระฆังปิดการซื้อขายประจำวัน สิ่งที่ทำให้พิธีการในเย็นวันพฤหัสฯนี้แตกต่างออกไป คือการเตรียมการฉลองการควบรวมกิจการระหว่างตลาดหุ้นนิวยอร์กกับ Euronext NV พาร์ตเนอร์จากฟากฝั่งยุโรปภายหลังจากที่ตลาดหุ้นปิดในเวลา 4 โมงเย็นวันนั้น
บรรดาโบรกเกอร์และนักค้าบนฟลอร์ต่างไม่พอใจกับการควบรวมครั้งนี้ สาเหตุนั้นมาจากการที่ทางฝั่ง Euronext ผลักดันให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้แทนที่ระบบการซื้อขายที่เป็นมาแต่ดั้งเดิมที่ต้องมีโบรกเกอร์และนักค้าจำนวนมากขานราคาซื้อขายกัน และส่งออร์เดอร์ซื้อขายด้วยมือ
การทดแทนคนด้วยการเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นี้ มีผลทำให้ 1 ใน 4 ของนักค้าทั้งหมด (ซึ่งมีอยู่ราว 3,700 คน) ต้องตกงานไป ดังนั้นบรรดานักค้าทั้งหลายจึงเตรียมพากัน "โห่ไล่" ทั้งผู้บริหารตลาดหุ้นนิวยอร์ก และผู้บริหารของ Euronext ที่มาเป็นแขกผู้มีเกียรติในพิธีตีระฆังปิดตลาดในช่วงเย็นวันนั้นเอง
อ่านข่าวนี้แล้วชวนให้นึกถึงเสียงต่อต้านข้อตกลงทางการค้าเสรีที่เรามักได้ยินกันเสมอในทุกเวทีของการเจรจาต่อรอง ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้เองก็มีข่าวการคัดค้านข้อตกลงดังกล่าวในประเทศเกาหลีใต้ และในประเทศไทยเรา
ผมคิดว่าไม่แปลกที่คนในประเทศทั้ง 2 จะรู้สึกถูกคุกคามจากการที่ต้องแข่งขันกับประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐหรือญี่ปุ่น หลายคนอาจต้องเสียธุรกิจหรือตกงานจากการที่มีคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าเข้ามาแย่งชิงส่วน แบ่งตลาด
ในอีกด้านหนึ่ง ข่าวชิ้นนี้ช่วยให้ผมตระหนักถึงข้อเท็จจริงว่า อาชีพการงานของคนในประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ ก็ไม่ได้มั่นคงไปกว่าคนในประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราสักเท่าไรเลย แม้จะไม่มีคู่แข่งทางการค้าจากต่างประเทศเข้ามาแย่งงานโดยตรง แต่พวกเขากลับเจอกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี (และสืบเนื่องไปถึงกระแสโลกาภิวัตน์) ที่พร้อมจะรุกคืบเข้ามาแย่งชิงงานของพวกเขาไป โดยพวกเขาไม่สามารถที่จะเรียกร้องหรือคัดค้านด้วยวิธีการใดๆ ได้